ทรงผมบันหรือทรงผมมัดจุกเป็นทรงผมที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน และเราพบข้อมูลเกี่ยวกับทรงผมบันในวัฒนธรรมต่าง ๆ ทั่วโลก ตัวอย่างเช่น
- ในวัฒนธรรมกรีกโบราณ ผู้หญิงจะนิยมไว้ผมยาวและเกล้ามวยผมไว้ที่ด้านหลังศีรษะ เรียกว่าทรง “โฮปโคน” (Hoplon)
- ในวัฒนธรรมญี่ปุ่นโบราณ ผู้หญิงจะนิยมเกล้าผมเป็นทรงสูงและประดับด้วยเครื่องประดับต่างๆ เรียกว่าทรง “ชิโนบุชิ” (Shinobushi)
- ในวัฒนธรรมจีนโบราณ ผู้หญิงจะนิยมเกล้าผมเป็นทรงสูงและประดับด้วยเครื่องประดับต่างๆ เรียกว่าทรง “กงปัน” (Gonpan)
ในประเทศไทย ทรงผมบันก็ได้รับความนิยมเช่นกัน โดยพบหลักฐานของทรงผมบันในสมัยสุโขทัย ผู้หญิงจะนิยมไว้ผมยาวและเกล้ามวยผมไว้ที่กลางศีรษะ เรียกว่าทรง “โซงโขดง”
ในยุคปัจจุบัน ทรงผมบันได้รับความนิยมอีกครั้ง โดยได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมป๊อปและดารานักแสดง ตัวอย่างเช่น นักแสดงหญิงชาวญี่ปุ่นอย่าง “กิโนะ ฟุกุชิมะ” เคยได้รับความนิยมอย่างมากจากทรงผมบันของเธอ
ทรงผมบันสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและวิธีการมัดผม ตัวอย่างเช่น
- บันต่ำ เป็นทรงผมบันที่มัดผมไว้ที่ท้ายทอย
- บันสูง เป็นทรงผมบันที่มัดผมไว้ที่ด้านบนศีรษะ
- บันครึ่งหัว เป็นทรงผมบันที่มัดผมเพียงครึ่งหนึ่งของศีรษะ
ทรงผมบันเป็นทรงผมที่สามารถทำได้ง่ายและเหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย อีกทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสไตล์การแต่งตัวได้หลากหลาย จึงเป็นทรงผมที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
การทำทรงผมบันบ่อยๆ มีข้อเสียดังนี้
ทำให้ผมร่วง การมัดผมบันแน่นๆ บ่อยๆ จะทำให้เส้นผมเกิดการเสียดสีและดึงรั้งรากผม ซึ่งอาจทำให้ผมร่วงได้ โดยเฉพาะในผู้ที่ผมบางอยู่แล้ว อาจทำให้เส้นผมแห้งและเปราะบาง ทำให้ผมเสียทรง การมัดผมบันซ้ำๆ จะทำให้ผมเสียทรงและชี้ฟู ซึ่งอาจทำให้ผมดูไม่เงางาม ทำให้ผมขาดความชุ่มชื้น การมัดผมบันแน่นๆ จะทำให้หนังศีรษะไม่สามารถระบายอากาศได้ดี ส่งผลให้หนังศีรษะแห้งและผมขาดความชุ่มชื้น
ที่มาจาก https://www.sanook.com/women/244057/